. โรงกระสาปน์สิทธิการ โรงกษาปณ์แห่งแรกของไทย (พุทธศักราช 2403 – 2418)
โรงกษาปณ์แห่งแรกของประเทศไทย สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ในยุคที่ประเทศไทยกำลังปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย พร้อมๆ กับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการค้า
ในปีพ.ศ. 2401 รัชกาลที่ 4 ทรงกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างขึ้นและพระราชทานนามว่า "โรงกระสาปน์สิทธิการ" ซึ่งตั้งอยู่บริเวณโรงทำเงินพดด้วง ด้านหน้าพระคลังสมบัติบริเวณมุมถนนใกล้กับทางออกประตูสุวรรณบริบาลด้านทิศตะวันออก ลักษณะเป็นอาคาร 2ชั้น ก่ออิฐเป็นปูน มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก มีทางขึ้นชั้นสองอยู่ทางด้านหน้า
มีประกาศใช้เหรียญกษาปณ์ที่ผลิตได้เป็นครั้งแรก เป็นตราพระมหามงกุฎ-ช้างในวงจักรมี 5 ชนิดราคา คือ บาท กึ่งบาท สลึง เฟือง และกึ่งเฟือง เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2403 โดยให้ใช้ควบคู่ไปกับเงินพดด้วง แต่ไม่โปรดเกล้าฯ ให้มีการผลิตพดด้วงเพิ่มขึ้นอีก ครั้นถึงปีพุทธศักราช 2405 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ผลิตเหรียญดีบุก อัฐ และโสฬส เพิ่มขึ้น และผลิตเหรียญทองแดง ซีก และเสี้ยวเพื่อใช้แทนเบี้ย ในปีพุทธศักราช 2409
2. โรงกระสาปน์สิทธิการ สมัยรัชกาลที่ 5 (พุทธศักราช 2418-2445)
ในช่วงเวลานั้น เศรษฐกิจของไทยมีความเจริญรุ่งเรือง พร้อมๆกับการขยายตัวด้านการค้ากับต่างประเทศ การผลิตเหรียญกษาปณ์เพื่อใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ จึงมีปัญหาผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ ประกอบกับเครื่องจักรเดิมเริ่มเก่าและชำรุด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สั่งซื้อเครื่องจักรผลิตเหรียญกษาปณ์เครื่องใหม่ชนิดขับเคลื่อนด้วยแรงดันไอน้ำที่มีกำลังผลิตสูงขึ้น พร้อมทั้งสร้างโรงกระสาปน์สิทธิการขึ้นมาใหม่ให้กว้างขวางกว่าเดิม เพื่อรองรับความต้องการใช้เหรียญกษาปณ์ที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น โรงกษาปณ์กระสาปน์สิทธิการ ซึ่งเป็นโรงกษาปณ์แห่งที่ 2 ของไทย สร้างขึ้นในบริเวณด้นทิศตะวันตกของประตูสุวรรณบริบาล ตรงข้ามกับโรงกษาปณ์เดิม รูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นแบบตะวันตก อาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สูง 2 ชั้น ก่ออิฐถือปูน (ปัจจุบันคือ พิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม)
พระราชพิธีสมโภชและเปิดโรงกษาปณ์ขึ้นเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2419 และเปลี่ยนตราเงินใหม่เป็นตราพระบรมรูป-ตราแผ่นดิน ชนิดราคา บาทหนึ่ง สลึงหนึ่ง เฟื้องหนึ่ง ซึ่งเป็นเหรียญกษาปณ์ไทยรุ่นแรกที่มีพระบรมรูปพระมหากษัตริย์บนหน้าเหรียญตามแบบสากลนิยม อันเป็นรูปแบบหนึ่งที่ถือปฏิบัติต่อมาจวบจนปัจจุบัน
3. โรงกระสาปน์สิทธิการ ริมคลองหลอด (พุทธศักราช 2445-2515)
ความเจริญก้าวหน้าด้านการค้าของประเทศ ส่งผลให้ความต้องการใช้เหรียญกษาปณ์เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่เครื่องจักรแรงดันไอน้ำที่มีอยู่เริ่มชำรุด เนื่องจากใช้ติดต่อกันมาเป็นเวลานานถึง ๒๕ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงกระสาปน์สิทธิการแห่งใหม่ขึ้น ในบริเวณอันเป็นที่ตั้งของวังเจ้านาย ๖ พระองค์ ซึ่งเรียกว่า "วังสะพานเสี้ยว" ริมคลองหลอด ด้านถนนเจ้าฟ้า ทางทิศเหนือของท้องสนามหลวง ลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน สูง ๒ ชั้น มีรูปแบบเป็นสถาปัตยกรรมตะวันตก เมื่อย้ายโรงกษาปณ์ไปอยู่สถานที่แห่งใหม่แล้ว กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณ สถานแห่งชาติ คือ "หอศิลป์แห่งชาติถนนเจ้าฟ้า" ในปัจจุบัน
พิธีเปิดโรงกษาปณ์แห่งที่ ๓ อย่างเป็นทางการ มีขึ้นเมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๕ และได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น "กรมกระสาป์นสิทธิการ" ติดตั้งเครื่องจักรผลิตเหรียญกษาปณ์เครื่องใหม่ ซึ่งทำงานด้วยกำลังไฟฟ้า สามารถผลิตเหรียญได้ประมาณวันละ ๘๐,๐๐๐ ถึง ๑๐๐,๐๐๐ เหรียญ โดยไม่ต้องทำการล่วงเวลา ส่วนเงินพดด้วง โปรดเกล้าฯ ให้เลิกใช้ ภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๔๕๑
เมื่อมีการประกาศใช้ "พระราชบัญญัติมาตราทองคำ รัตนโกสินทรศก ๑๒๗" (พ.ศ. ๒๔๕๑) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผลิตเหรียญกษาปณ์ชนิดราคา ๑ บาท ตราพระบรมรูป-ตราไอราพต จากโรงกษาปณ์ปารีส จำนวน ๑,๐๓๖,๖๙๑ เหรียญ แต่ไม่ทันได้ประกาศใช้ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อน โดยตราไอราพตได้ใช้เป็นตราประจำแผ่นดินเรื่อยมาจนสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ประเทศไทยได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ อันนื่องมา จากสงครามโลกครั้งที่ ๑ ส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก โลหะที่ใช้ในการผลิตเหรียญกษาปณ์มีราคาสูงขึ้น จึงต้องลดส่วนผสมของโลหะเงินลง และผลิตธนบัตรราคา ๑ บาทออกใช้แทนเหรียญกษาปณ์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำเนินนโยบายต่างๆ หลายประการ เพื่อประคองสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศให้สมดุลกับภาวะเศรษฐกิจโลก และป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น แต่ก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกเป็นไปอย่างกว้างขวางและรุนแรง จวบจนสิ้นรัชสมัยของพระองค์และต่อเนื่องไปถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงแก้ไขภาวะเศรษฐกิจของประเทศ โดยในส่วนที่เกี่ยวกับการผลิตเงินตรา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบฐานะของกรมกระสาปน์สิทธิการ ลงเป็นโรงงานขึ้นกับกรมฝิ่นหลวง เหรียญที่ใช้ในรัชกาลนี้เป็นชนิดนิกเกิล ๕ สตางค์ และชนิดทองแดง ๑ สตางค์ ที่นำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการผลิต และต้องงดผลิตเหรียญกษาปณ์เป็นเวลานานถึง ๖ ปี โดยมีเหรียญเงิน ๕๐ สตางค์ และ ๒๕ สตางค์ ตราพระบรมรูปช้างยืนแท่น เป็นเหรียญประจำรัชกาล
ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปิดโรงงานกษาปณ์ขึ้นใหม่ เพื่อผลิตเหรียญกษาปณ์ออกใช้เอง เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๗๖ โดยตั้งขึ้นเป็น "แผนกกษาปณ์" และโอนไปสังกัดกรมพระคลังมหาสมบัติ ต่อมาได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น "กองกษาปณ์" สังกัดกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง"
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๘ แห่งราชวงศ์จักรี ช่วงเวลานั้นประเทศไทย ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในปีพุทธศักราช ๒๔๘๒ รัฐบาลได้แก้ไขปัญหาการขาดแคลนเงินปลีก อันเนื่องมาจากสินค้ามีราคาสูง ด้วยการนำเหรียญเงิน ๒ สลึง ในคลังมาหลอม และผลิตเหรียญเงินราคา ๒๐ สตางค์ ๑๐ สตางค์ และ ๕ สตางค์ ขึ้นใช้แทนการสั่งผลิตจากต่างประเทศ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการนำโลหะเงินมาผลิตเป็นเงินปลีก และเมื่อโลหะเงินและทองแดงมีราคาสูงขึ้น จึงได้นำดีบุกมาใช้ผลิตแทน เหรียญประจำรัชกาลนี้คือ เหรียญดีบุกตราพระครุฑพ่าห์
4. โรงกษาปณ์ ประดิพัทธ (พุทธศักราช 2515-2544)
โรงกษาปณ์แห่งที่ ๔ ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ ๑๑ ไร่เศษ มีบริเวณกว้างขวางพอที่จะสามารถติดตั้ง เครื่องจักรอันทันสมัยได้อีกหลายเครื่อง โดยสร้างเสร็จและเปิดดำเนินการ เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๑๕ สามารถผลิตเหรียญกษาปณ์ออกใช้ได้ประมาณวันละ ๒ ล้านเหรียญ หรือ ๗๕๐ ล้านเหรียญต่อปี
ได้มีการปรับเปลี่ยนลวดลายด้านหลังของเหรียญหลายครั้ง ให้สื่อความหมายชัดเจนและเป็นระบบมากขึ้น โดยที่ยังคงสัญลักษณ์ของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ไว้เช่นเดิม คือ ด้านหน้าของเหรียญทุกชนิดราคา เป็นพระบรมรูปรัชกาลที่ ๙ เพื่อสื่อความหมายถึง สถาบันพระมหากษัตริย์ และมีข้อความว่า "ประเทศไทย" เพื่อสื่อความหมายถึง สถาบันชาติ และมีรูปโบราณสถานสำคัญทางศาสนา อันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เพื่อสื่อความหมายถึง สถาบันศาสนา เหรียญรูปแบบใหม่นี้มีการผลิต ออกใช้หมุนเวียนเป็นประจำทุกปี จนถึงปัจจุบัน โดยเปลี่ยนเลขปีพุทธศักราชบนเหรียญตามปีที่ผลิต
การปรับเปลี่ยนรูปแบบเหรียญกษาปณ์ ครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี พุทธศักราช ๒๕๒๙ เมื่อรัฐบาลมีนโยบายผลิตเหรียญกษาปณ์ ชุดใหม่ทุกชนิดราคา โดยทำการปรับปรุงขนาดและรูปแบบ รวมทั้งกำหนดให้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชนิดราคา ๑ สตางค์ ถึง ๑๐ บาท ขึ้นเป็นครั้งแรก ปัจจุบันมีการผลิตเหรียญกษาปณ์ หมุนเวียน ๘ ชนิดราคาด้วยกัน ได้แก่ เหรียญราคา ๑๐ บาท ๕ บาท ๑ บาท ๕๐ สตางค์ ๒๕ สตางค์ ๑๐ สตางค์ ๕ สตางค์ และ ๑ สตางค์
ในรัชกาลนี้มีการผลิต "เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก" เพื่อเป็นที่ระลึกและบันทึกเหตุการณ์สำคัญ เสมือนเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ลงบนหน้าเหรียญขึ้นเป็นครั้งแรก ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๔ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด้จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จนิวัติพระนคร หลังจากเสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และประเทศภาคพื้นยุโรป และได้ทรงนำชื่อเสียงและเกียรติยศมาสู่ประเทศไทย
ส่วนเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกชนิดเหรียญขัดเงา ได้ผลิตขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พุทธศักราช ๒๕๒๕ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความ ก้าวหน้าของโรงกษาปณ์ไทย นอกจากการผลิตเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ แล้วยังมีการผลิตเหรียญกษาปณ์จากโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับองค์กรต่างประเทศ เช่น การจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกปีเด็กสากลในปี พุทธศักราช ๒๕๒๕ และเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกอนุรักษ์ ธรรมชาติและสัตว์ป่า ในปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ เป็นต้น
5. โรงกษาปณ์รังสิต (พุทธศักราช 2545-ปัจจุบัน)
การพัฒนาเทคโนโลยีและความเจริญทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการติดต่อค้าขายกันทั่วโลก และการหมุนเวียนของเงินตรามีความคล่องตัวยิ่งขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้เหรียญกษาปณ์ ในระบบเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย จึงจำเป็นต้องมีการเพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอกับความต้องการใช้เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดยปรับปรุงโรงกษาปณ์ เพื่อติดตั้งเครื่องจักรที่ทันสมัยเพิ่มขึ้น และมีเป้าหมายให้สามารถผลิตเหรียญกษาปณ์ได้ ประมาณ ๑,๐๐๐ ล้านเหรียญต่อปี แต่เนื่องจากโรงกษาปณ์ที่ริมถนนประดิพัทธตั้งอยู่ในย่านชุมชน มีพื้นที่จำกัดไม่สามารถขยายโรงงานได้ ประกอบกับมลภาวะที่เกิดจากกระบวนการผลิต ก่อให้เกิดผลกระทบแก่ชุมชนที่อาศัยอยู่โดย รอบโรงงาน
รัฐบาลมีนโยบายย้ายโรงกษาปณ์ ออกไปอยู่นอกเมือง ที่มีพื้นที่กว้างขวางและห่างไกลชุมชน จึงมีมติเห็นชอบให้สร้างโรงกษาปณ์แห่งใหม่ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่งสถานที่ ก่อสร้างใหม่นี้อยู่ที่บริเวณ โรงงานทอกระสอบเดิม ของกระทรวง การคลัง ถนนพหลโยธิน กิโลเมตรที่ ๓๔-๓๕ ตำบล คลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี บนเนื้อที่ประมาณ ๑๒๖ ไร่
การย้ายโรงกษาปณ์ออกไปอยู่นอกเมือง ที่มีพื้นที่กว้างขวาง เพื่อป้องกันและลดปัญหามลภาวะ เป็นพิษจากกระบวน การผลิต และรองรับกำลังการผลิตที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้สามารถผลิตเหรียญกษาปณ์ ได้เพียงพอกับความต้องการใช้ในปัจจุบัน และส่งเสริมการขยาย ตัวทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไปในอนาคต
0 comments:
Post a Comment